ส่งครั้งที่ 2
การประเมินพัฒนาการของเด็กระดับชั้นอนุบาลตามสภาพจริง
การประเมินตามสภาพจริงหรือ (authentic assessment) เป็นการประเมินการเรียนรู้จากข้อมูลเชิงประจักษ์ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่มาจากผลงานจริงของผู้เรียนกระบวนการกระทำที่เป็นการคิดและการปฏิบัติจริงของผู้เรียนเริ่มต้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วง ค. ศ. 1984 (พ. ศ. 2527) การพัฒนาการประเมินตามสภาพจริงมีเจตนาเพื่อมาใช้แทนการทดสอบมาตรฐานการศึกษาแนวทางได้ทำอย่างหลากหลายในหลายรัฐโดยเริ่มจากการประเมินด้านการเขียนจากการติดตามศึกษาวิธีการประเมินจากเด็กผู้ปกครองและครูได้ข้อสรุปตรงกันว่าการประเมินตามสภาพจริงสามารถช่วยในการพัฒนาความเจริญงอกงามของเด็กได้ตรงและสอดคล้องกับการสอนอย่างแท้จริง
หลักการและแนวคิดของการประเมินตามสภาพจริง
จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 มาตรา 26 ได้กำหนดถึงการประเมินผลผู้เรียนว่า ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอน
ดังนั้นการประเมินผลการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียนจึงเป็นหน้าที่ของผู้สอน โดยถือว่าการประเมินผลเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอนเพื่อใช้เป็นกลไกในการติดตาม พัฒนาและช่วยเหลือผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ให้เต็มศักยภาพ ทั้งนี้คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้ ได้ระบุว่า การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ต้องวัดและประเมินให้ครอบคลุมทุกด้านทั้งในส่วนของกระบวนการและผลงานทั้งด้านความรู้ความรู้สึก และทักษะการแสดงออกทุกด้าน และเป็นการประเมินตามสภาพจริง
สำหรับการประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยนั้นได้นำหลักการดังกล่าวมาเป็นแนวทางในการประเมินของผู้เรียน ดังปรากฏในเอกสารหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ที่ระบุถึงหลักการประเมินพัฒนาการทางเด็กปฐมวัย อายุ 3 – 5 ปี ว่า เป็นการประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติที่จัดให้เด็กในแต่ละวัน ทั้งนี้ให้มุ่งนำข้อมูลการประเมินมาพิจารณา ปรับปรุง วางแผนการจัดกิจกรรม เพื่อส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้รับการพัฒนาตามจุดหมายของหลักสูตร โดยยึดหลักดังนี้
1. ประเมินพัฒนาการครบทุกด้านและนำผลมาพัฒนาเด็ก
2. ประเมินเป็นรายบุคคล อย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องตลอดปี
3. สภาพการประเมินควรมีลักษณะเช่นเดียวกับการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน
4. ประเมินอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน เลือกใช้เครื่องมือและจดบันทึกไว้เป็น หลักฐาน
5. ประเมินตามสภาพจริงด้วยวิธีการที่หลากหลายเหมาะกับเด็ก รวมทั้งใช้แหล่งข้อมูลหลาย ๆ ด้าน
จากหลักการเกี่ยวกับการประเมินดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงวิธีการประเมินผู้เรียนที่ให้ความสำคัญต่อการประเมินอย่างรอบด้าน และเป็นการประเมินที่จัดอยู่ในกิจกรรมการเรียนการสอนตามปกติ ซึ่งวิธีนี้เรียกว่าเป็นการประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ได้ข้อมูลของผู้เรียนตามความจริงที่ปรากฏในขณะนั้น
จากหลักการเกี่ยวกับการประเมินดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงวิธีการประเมินผู้เรียนที่ให้ความสำคัญต่อการประเมินอย่างรอบด้าน และเป็นการประเมินที่จัดอยู่ในกิจกรรมการเรียนการสอนตามปกติ ซึ่งวิธีนี้เรียกว่าเป็นการประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ได้ข้อมูลของผู้เรียนตามความจริงที่ปรากฏในขณะนั้น
ความหมายและความสำคัญของการประเมินตามสภาพจริง
นักวิชาการด้านการประเมินผลได้ให้ความหมายของการประเมินตามสภาพจริงไว้ดังนี้
ศิริชัย กาญจนวาสี (2546 : 13) ให้ความหมายว่า การประเมินตามสภาพจริง (authentic assessment) เป็นกระบวนการตัดสินความรู้ ความสามารถ และทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียนในสภาพที่สอดคล้องกับชีวิตจริง โดยใช้เรื่องราว เหตุการณ์สภาพจริง หรือคล้ายจริงที่ประสบในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งเร้าให้ผู้เรียนตอบสนอง โดยการแสดงออก ลงมือกระทำหรือผลิต จากกระบวนการทำงานตามที่คาดหวังและผลผลิตที่มีคุณภาพจะเป็นการสะท้อนภาพเพื่อลงข้อสรุปถึงความรู้ ความสามารถและทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียนว่ามีมากน้อยเพียงใด น่าพอใจหรือไม่ อยู่ในระดับความสำเร็จได้
สุวิมล ว่องวาณิช (2546 : 7) ให้ความเห็นว่า การประเมินนั้นจะใช้วิธีการแบบใดก็ได้แต่ต้องเชื่อว่าสิ่งที่ผู้เรียนรู้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นการประเมินจึงต้องยึดหลักการเปรียบเทียบพฤติกรรมของผู้เรียนในแต่ละช่วงเวลา การประเมินตามสภาพจริงเป็นประเภทหนึ่งของการประเมินที่ต้องการให้ผู้เรียนแสดงทักษะและสมรรถภาพ ซึ่งสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน การบูรณาการความรู้และการปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโลกแห่งการเป็นจริง
เอมอร จังศิริพรปกรณ์ (2546 : 162) ให้ความเห็นว่า การประเมินสภาพจริงเป็นวิธีการประเมินที่สนับสนุนการเรียนของผู้เรียนที่มีความสนใจ ความถนัดและมีพัฒนาการที่ต่างกัน ให้สามารถพัฒนาและเกิดการเรียนรู้มากที่สุด เต็มตามศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน เนื่องจากการประเมินในลักษณะนี้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกและแสดงความรู้ ความสามารถ ความรู้สึก และการประพฤติปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
จากความหมายดังกล่าวแสดงถึง ลักษณะของการประเมินตามสภาพจริงที่เป็นการประเมินที่เป็นกระบวนการที่ใช้ประเมินผู้เรียนอย่างรอบด้านในสถานการณ์ที่ผู้เรียนได้ประสบอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจากการประเมินเช่นนี้จะสะท้อนให้เห็นภาพที่แท้จริงของผู้เรียนได้ และนำข้อมูลดังกล่าวไปสู่การพัฒนาผู้เรียนต่อไป
แนวคิดของการประเมินตามสภาพจริง
นักวิชาการด้านการประเมินผล และนักวิชาการด้านการเรียนการสอนได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินผลผู้เรียน ซึ่งในที่นี้ได้นำมาเป็นแนวคิดพื้นฐานในการประเมินตามสภาพจริง ดังนี้ (ศิริเนตร สุนเชื่อ. 2546 : 54, สุวิมล ว่องวาณิช. 2546 : 18 – 19) และคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยเป้าหมายทางการศึกษา. 2542 : ก – 22)
1. ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความสามารถ ซึ่งมีผลให้ผู้เรียนแต่ละคนมีวิธีเรียนที่เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง และเนื่องจากความแตกต่างดังกล่าว ครูจึงต้องหาวิธีที่จะให้ผู้เรียนได้ใช้ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และแสดงออกถึงผลของการใช้ความสามารถนั้น ๆ ตามลักษณะของแต่ละคน ดังนั้นการประเมินผู้เรียนจึงต้องใช้วิธีการหลากหลายและการประเมินตามสภาพจริงอันจะให้สารสนเทศของผู้เรียนแต่ละคนได้ชัดเจนครบถ้วนและตรงตามความเป็นจริง
2. การประเมินเป็นกระบวนการที่ผสมผสานกับกระบวนการเรียนรู้ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การช่วยให้เด็กมีความสามารถในการเรียนรู้เต็มตามศักยภาพ ดังนั้นการประเมิน จึงควรมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับระบบสถานศึกษา หลักสูตรและเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม การสอนและต้องให้ความสำคัญต่อการประเมินผลการเรียนรู้ทั้งก่อนเรียนระหว่างทางและหลังการเรียนเพื่อเป็นข้อมูลย้อนกลับในการพัฒนาผู้เรียนและการกำหนดกลยุทธ์ในการสอน
3. การประเมินต้องเป็นการประเมินอย่างรอบด้าน อย่างทัดเทียมกันในทุกมิติทั้งการเรียนรู้ ทักษะกระบวนการการคิดวิเคราะห์ ค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยใช้กระบวนการที่เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงของผู้เรียน ที่จะนำผลแห่งการเรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริงของชีวิตและสังคม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้เรียนในการประเมินนั้น
4. การประเมินเด็กปฐมวัยควรคำนึงถึงศักยภาพในการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กในทุก ๆ ด้านในแต่ละช่วงอายุ รูปแบบการเรียนรู้ พัฒนาการทางกาย การรับรู้เกี่ยวกับความรู้ทั่ว ๆ ไป ดังนั้นวิธีการประเมินเด็กปฐมวัยจึงควรออกแบบให้มีความเหมาะสมกับลักษณะดังกล่าวของเด็ก ขณะเดียวกันเด็กจะแสดงออกถึงการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ โดยใช้วิธีการสื่อสารด้วยการแสดง ท่าทาง พฤติกรรม และการกระทำมากกว่าการพูดและการเขียน ดังนั้นการประเมินโดยใช้แบบทดสอบข้อเขียน จึงไม่ควรนำมาใช้กับเด็กวัยนี้ เนื่องจากการทดสอบดังกล่าวไม่สามารถแสดงภาวะการเรียนรู้ที่แท้จริงของเด็กได้และเด็กยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการทดสอบ
5. การประเมินจะต้องเป็นการสะท้อนจุดประสงค์ของการเรียนรู้และจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษา โดยต้องมีการกำหนดความคาดหวังชัดเจนตั้งแต่เริ่มทำการประเมิน ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้ปกครอง และผู้เรียนต้องมีส่วนรับรู้จุดประสงค์การเรียนรู้ และมีส่วนร่วมในการประเมินด้วย
หลักการประเมินตามสภาพจริง
จากแนวคิดในการประเมินดังกล่าวนำมาสู่หลักการประเมินตามสภาพจริง ดังนี้
1. การประเมินต้องประเมินผู้เรียนทั้งองค์ประกอบด้านผลผลิตว่าผู้เรียนรู้อะไร และทำอะไรได้ องค์ประกอบด้านกระบวนการ คือ ผู้เรียนมีวิธีการเรียนรู้อย่างไรและองค์ประกอบด้านความก้าวหน้าว่าผู้เรียนมีพัฒนาการจากเดิมเท่าใด
2. ผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมในการประเมินโดยเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดข้อบ่งชี้และเกณฑ์และส่วนในการประเมินตนเอง
3. วิธีการประเมินตามสภาพจริงควรอยู่บนพื้นฐานของบริบทที่เด็กมีความคุ้นเคย เพื่อให้เด็กสามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงให้ปรากฏ
4. การประเมินตามสภาพจริงต้องเป็นกระบวนการที่ควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนการสอน และเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อแสวงหาข้อมูลว่าผู้เรียนได้เรียนรู้อะไร และสามารถทำได้ข้อมูลที่ได้ จะช่วยให้ครูและผู้ปกครองสามารถนำไปสร้างสิ่งท้าทายใหม่ ๆ ให้แก่เด็ก หรือให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่เด็กที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มศักยภาพ
5. การประเมินเด็กปฐมวัยจะได้จากการสังเกต การบันทึก การสอบถาม และข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้นการบันทึก การเก็บร่องรอยพฤติกรรมและการใช้ทางภาษาขณะที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ และการสะสมชิ้นงาน จะเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ประกอบการประเมิน ดังนั้นการประเมินจึงมักใช้การปฏิบัติงานเป็นฐาน ผู้เรียนจะได้ประยุกต์ความรู้ ทักษะ มาใช้ในการปฏิบัติ การประเมินจึงอิงข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นการประเมินแบบพหุมิติ จากหลักฐานที่หลากหลาย รวมทั้งจากการแสดง และจัดทำผลงานของผู้เรียน
6. การนำข้อมูลจากการประเมินไปใช้ จะนำไปใช้ใน 2 วัตถุประสงค์ คือ เพื่อสนับสนุนและพัฒนาเด็ก และเป็นการนำข้อมูลมาปรับปรุงการจัดกิจกรรม รวมทั้งเป็นแนวทางสำหรับนำไปใช้ในการกำหนดนโยบายการพัฒนาเด็กและการศึกษา
7. ผู้ปกครองเป็นบุคคลสำคัญในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนและเป็นผู้ที่ต้องการผลของการประเมินมากที่สุด ดังนั้นการประเมินจะต้องให้โอกาสผู้ปกครองมีส่วนร่วมด้วยและต้องมีการรายงานผลให้ผู้ปกครองทราบอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง และให้โอกาสผู้ปกครองได้นำผลการรายงานนี้ไปใช้ประโยชน์ในการสนับสนุน และพัฒนาเด็กร่วมกับสถานศึกษา
(5. 3) มองหาความรู้เดิมกับความสัมพันธ์ที่มีต่อความเข้าใจและความสามารถปัจจุบัน ได้แก่ (ก) การถ่ายโอนเชิงลบ (negative transfer) เกิดเมื่อการเรียนรู้เดิมเข้ามาขัดขวางการเรียนรู้ใหม่ (ข) การถ่ายโอนเชิงบวก (positive transfer) เกิดเมื่อการเรียนรู้เดิมช่วยการเรียนรู้ใหม่
ขั้นตอนการประเมิน
ขั้นตอนการประเมินตามสภาพจริงเพื่อสนับสนุนพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยประกอบด้วย 4 ขั้นตอนที่ดำเนินอย่างไปอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ประกอบด้วย 1) การวางแผน 2) การจัดระบบข้อมูล 3) การแปลข้อมูลและ 4) การนำผลการประเมินไปใช้ (ศศิลักษณ์ขยันกิจและบุษบงตันติวงศ์, 2554)
1) การวางแผน
การวางแผนเป็นขั้นตอนแรกซึ่งสำคัญมากในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเพื่อให้ทราบว่าจะต้องดำเนินการตระเตรียมข้อมูลอะไรบ้างเก็บข้อมูลอะไรอย่างไรเมื่อไหร่ด้วยวิธีการอย่างไรบ้างครูจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานและกำหนดกรอบของการประเมินดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานโดยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริบทของโรงเรียน ได้แก่ ปรัชญาหลักสูตรมาตรฐานการเรียนรู้กิจวัตรประจำวันกิจกรรมการเรียนรู้จำนวนครูจำนวนเด็กรวมถึงการประกันคุณภาพการศึกษา
1. 2) กำหนดกรอบของการประเมินโดยกำหนดวัตถุประสงค์ช่วงเวลาการเก็บการบันทึกให้ชัดเจนนอกจากนั้นครูควรกำหนดตารางการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ไว้ตั้งแต่ต้นภาคการศึกษา ได้แก่ วันประชุมครูวันประชุมผู้ปกครองรายบุคคลหรือกลุ่มใหญ่วันที่ส่งจดหมายข่าวถึงผู้ปกครองวันที่จัดบอร์ดแสดงประสบการณ์การเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้
2) การจัดระบบข้อมูล
ครูต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบในการประเมินตามสภาพจริงเพื่อสนับสนุนพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กรายบุคคลความสามารถในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้เป็นทักษะที่ครูต้องฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องการเลือกช่องทางใจในการประเมินควรพิจารณาความถนัดและความสามารถของครูร่วมด้วยอย่างไรก็ตามครูต้องใช้วิธีการหรือช่องทางการประเมินที่หลากหลายในการประเมินเด็กเป็นรายบุคคลเละมีความยุติธรรมในการจัดระบบข้อมูลเกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวมข้อมูลการบันทึกข้อมูลและการสรุปข้อมูลรายละเอียดเป็นดังนี้
2. 1) การเก็บรวบรวมข้อมูล ครูต้องใช้วิธีการหรือช่องทางการประเมินที่หลากหลายเพื่อประเมินเด็กเป็นรายบุคคลอย่างยุติธรรมโดยพิจารณาความหลากหลายในด้านวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลแหล่งข้อมูลและบริบทในการเก็บข้อมูลดังนี้
(1) แหล่งข้อมูล ได้แก่ เด็กแต่ละคนกลุ่มเด็กผู้ใหญ่อื่นๆบันทึกต่างๆ
(2) วิธีการ ได้แก่ สังเกตเด็กกระตุ้นการตอบสนองจากเด็ก (เช่นสนทนาถามคำถามสัมภาษณ์) เก็บผลงานกระตุ้นการตอบสนองจากผู้ใหญ่อื่นๆ
(3) บริบท ได้แก่ กิจกรรมในห้องเรียนกิจกรรมของโรงเรียนกิจวัตรประจำวันช่วงรอยต่อของกิจกรรมกิจกรรมที่ครูขี้แนะกิจกรรมที่เด็กที่เริ่มเองกิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม
2. 2) การบันทึกข้อมูล การบันทึกข้อมูลต้องกระทำอย่างแม่นยำเป็นกลางและมีความสมบูรณ์ครูต้องบันทึกข้อมูลตามความเป็นจริงโดยไม่ปนความคิดเห็นหรืออารมณ์ความรู้สึกของครูบันทึกพฤติกรรมการแสดงออกท่าทีคำพูดการกระทำที่เกิดขึ้นแยกส่วนกับการตัดสินตีความหรือสงข้อสรุปของครูข้อมูลที่บันทึกไว้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการประเมินตามสภาพจริงซึ่งถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการสื่อสารกับผู้ปกครองครูท่านอื่นตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องนอกจากนั้นการบันทึกข้อมูลอย่างสม่ำเสมอช่วยพัฒนาความสามารถในการสังเกตและการเป็นผู้สอนที่ดีขึ้นอีกทางหนึ่งครูควรหาเวลาในช่วงหลังเลิกเรียนเพื่อบันทึกข้อมูลซึ่งไม่สามารถบันทึกได้ในขณะที่อยู่กับเด็ก
การบันทึกข้อมูลมีหลากหลายลักษณะ ได้แก่ การบรรยายการนับหรือแจกแจงความถี่และการมาตรประมาณค่าการบันทึกข้อมูลแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันครูต้องพิจารณาความถนัดของตนตลอดจนบริบทของชั้นเรียนเพื่อเลือกการบันทึกข้อมูลให้เหมาะสมสามารถเก็บข้อมูลได้จริงและมีความตรงกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กที่ต้องการประเมิน
3) การแปลข้อมูล
ในการแปลข้อมูลครูต้องคัดเลือกหลักฐานแล้วทำการวิเคราะห์เชื่อมโยงกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กแต่ละวัยรวมทั้งพิจารณาเปรียบเทียบกับมาตรฐานการเรียนรู้ของสถานศึกษาด้วยอย่างไรก็ตามก่อนการแปลผลข้อมูลจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้นั้นตรงตามสภาพจริงและน่าเชื่อถือโดยการตรวจสอบดังนี้
•มีตัวอย่างมากเพียงพอ
•ตัวอย่างเป็นตัวแทนของสิ่งที่ประเมิน
•ตัวอย่างมีความสมดุลของแหล่งข้อมูลวิธีการเก็บและบริบทที่หลากหลาย
•หลักฐานซึ่งได้มาจากหลายวิธีมีความครอบคลุม
•ข้อมูลมีความสม่ำเสมอเชื่อถือได้
•หลักฐานสอดคล้องกับความเป็นจริง
ข้อควรพิจารณาในการแปลผลข้อมูล ได้แก่
(1) ตัดสินความก้าวหน้าโดยเปรียบเทียบความสามารถ ณ สองจุดหรือมากกว่า
(2) ใช้ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมและสรุป
(3) มองหาแบบแผนต่างๆรวมทั้งแบบแผนของข้อผิดพลาดแทนมองหาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นปลีกย่อย
(4) พิจารณาเอกลักษณ์และแบบแผนของพัฒนาการพื้นอารมณ์ความสนใจและความถนัดของเด็กและกลุ่มเด็ก
(5) ค้นหาร้านที่ควรใส่ใจ
แปลความและทำความเข้าใจความหมายของข้อค้นพบในการประเมินดังนี้
(1) สร้างหลายสมมุติฐานเกี่ยวกับความหมายที่เป็นไปได้แต่ยังไม่สรุป
(2) วิเคราะห์ความสามารถของเด็กเป็นแถบหรือช่วงกว้าง
(3) พิจารณาอิทธิพลของบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่มีต่อการกระทำของเด็ก
(4) เปรียบเทียบหลักฐานกับความคาดหวังทางพัฒนาการหรือความคาดหวังของหลักสูตรโดยเปรียบเทียบหลักฐานกับลำดับโดยทั่วไปของพัฒนาการปัจจุบันและเปรียบเทียบผลลัพธ์กับเป้าหมายวัตถุประสงค์และมาตรฐานของหลักสูตร
(5) วิเคราะห์ข้อมูลหาร่องรอยกระบวนการเรียนรู้
(5. 1) สำรวจกระบวนการคิดพื้นฐาน
(5.2) วิเคราะห์แบบแผนข้อผิดพลาด ได้แก่ (ก) แบบแผนข้อผิดพลาดที่เป็นระบบ (Systematic error patterns) (ข) แบบแผนข้อผิดพลาดที่ไม่เป็นระบบ (random error patterns) (ค) แบบแผนข้อผิดพลาดแบบกระโดด (skip error patterns)
(5. 4) วิเคราะห์คำอธิบายและคำบรรยายของเด็ก
(5. 5) มองหาข้อแตกต่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
4) การนำผลการประเมินไปใช้
การประเมินช่วยกำหนดสถานภาพและความก้าวหน้าในการเจริญเติบโตพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กข้อมูลที่แปลผลได้จะถูกนำมาใช้ดังนี้
(4. 1) วางแผนการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กในชั้นเรียน
(4. 2) ส่งเสริมเด็กรายบุคคลหรือกลุ่มใหญ่
(4. 3) ปรับเปลี่ยนแผนหรือหลักสูตร
(4. 4) สื่อสารข้อมูลการประเมินกับเด็กผู้ปกครองหรือนักวิชาชีพอื่นๆตลอดจนคณะกรรมการทุน คณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพและคณะที่ปรึกษา
การตัดสินใจเรื่องที่จะประเมินอาจได้รับอิทธิพลจากความต้องการข้อมูลพัฒนาการด้านหลักๆเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโปรแกรมความจำเป็นที่จะรู้บางเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กแต่ละคนรวมไปถึงปัญหาและข้อห่วงใย
ในการจัดระบบหลักฐานเพื่อการสื่อสารข้อมูลการประเมินกับผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถจัดทำได้ในหลากหลายแนวทาง ได้แก่ สมุดสื่อสารระหว่างบ้านกับโรงเรียนสมุดรายงานพัฒนาการเด็กจดหมายข่าวบอร์ดสะท้อนความคิดของผู้ปกครองและครูแฟ้มสะสมงานของเด็กรายบุคคลบอร์ดสะท้อนการเรียนรู้ของเด็ก
เครื่องมือประเมินผลตามสภาพจริง
เครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจำแนกได้เป็น 2 ลักษณะคือเครื่องมือประเมินผลเฉพาะเรื่อง ได้แก่ แบบทดสอบและแบบประเมินตามสภาพจริงแบบทดสอบเป็นแบบประเมินที่ใช้วัดความสามารถของเด็กเฉพาะเรื่องมีอย่างน้อย 4 ลักษณะคือ
1) แบบทดสอบแบบเลือกตอบซึ่งข้อคำถามและตัวเลือกจะเป็นภาพ
2)แบบทดสอบสถานการณ์เป็นแบบทดสอบที่ตั้งสถานการณ์ขึ้นแล้วให้เด็กทดลองปฏิบัติการประเมินแบบนี้ครูจะใช้การสังเกตเป็นตัวร่วมในการประเมิน
3)แบบประเมินความสามารถในการสื่อภาษาเป็นแบบทดสอบที่ให้เด็กเล่าตามภาพโดยมีข้อกำหนดการประเมินจากครู
4) แบบประเมินความคล่องเช่นความคล่องทางการพูดการเขียนการอ่านการเข้าสังคมหรือการปฏิบัติก็เป็นแบบสังเกตที่มีกำหนดเวลาและวิธีการแบบทดสอบที่ใช้กับเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่เป็นภาพหรือการปฏิบัติจริงที่เด็กสามารถรับรู้และเข้าใจได้
แบบประเมินตามสภาพจริงการประเมินตามสภาพจริง เป็นการประเมินความก้าวหน้าและพัฒนาการของผู้เรียนด้วยวิธีการหลากหลายด้วยการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเป็นกระบวนการเพื่อวิเคราะห์ความก้าวหน้าของผู้เรียนเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินผลการเรียน โดยผู้สอนผู้เรียนและผู้ปกครองร่วมมือกันเช่น การใช้การสะสมผลงาน (portfolio) เป็นเครื่องมือในการประเมินตามสภาพจริง (วิชัยวงษ์ใหญ่, 2543: 16) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินตามสภาพจริงประกอบด้วยชิ้นงานที่ครูต้องสะสม ซึ่งอาจเป็นผลงานจากฝีมือของเด็กเองหรือผลงานที่มาจากการสังเกตของครูวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ได้แก่
1. การสังเกตเป็นวิธีการหลักของการประเมินตามสภาพจริงครูจะบันทึกสิ่งที่สังเกตต่าง ๆ ที่ได้จากการสังเกตเด็กแล้วบันทึกที่ครูเป็นผู้เขียนและรวบรวมข้อมูลสำหรับประเมินภาพเด็กส่วนใหญ่ใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานของเด็กแบบบันทึกที่ครูใช้นี้ได้แก่
•บันทึกพฤติกรรม (Anecdotal record) เป็นบันทึกที่ครูจดกิริยาการกระทำการแสดงออกของเด็กในเรื่องที่ครูต้องการประเมินซึ่งจะเป็นเรื่อง ๆ ตามจุดประสงค์การสังเกต
•บันทึกรายเรื่อง (Jourmal) เป็นบันทึกข้อความรู้หรือการเรียนรู้ของเด็กในแต่ละเรื่องที่ผ่านไปส่วนใหญ่จะบันทึกวันต่อวัน ดังนั้นจึงอาจพบมีผู้ใช้คำว่าบันทึกประจำวัน : บันทึกการปฏิบัติ (Logs) บันทึกการปฏิบัติหรือพฤติกรรมของเด็กแต่ละช่วงเวลาตามตารางที่กำหนด
•แบบตรวจรายการ (Checklist) เป็นแบบประเมินอีกอย่างหนึ่งที่ครูใช้สำหรับการสังเกตการปฏิบัติของเด็กตามขั้นตอนกระบวนการปฏิบัติงานในรายละเอียดแต่ละขั้นเป็นรายข้อ
•มาตรการให้คะแนน (Rubric) เป็นแบบสังเกตที่มีการกำหนดพฤติกรรมและตีค่าพฤติกรรมเป็นลำดับคะแนนครูใช้สำหรับสังเกตการแสดงออกของเด็กและตีค่าคะแนนตามมาตรฐานที่กำหนด
2. การสะท้อนผลงานสะสมการสะสมผลงาน (portfolio) เป็นการรวบรวมตัวอย่างชิ้นงานที่ดีที่สุดของเด็กในแต่ละช่วงการเรียนมาเพื่อสะท้อนภาพการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กว่ามีการก้าวหน้าอย่างไรนับตั้งแต่เริ่มเรียนจนถึงปัจจุบัน (Elby and Kujawa, 1994: 11) การประเมินด้วยการสะสมผลงานนี้เป็นการประเมินที่ผลลัพธ์ที่ครูต้องพิจารณาย้อนกลับเพื่อสะท้อนภาพให้เห็นถึงความสามารถของเด็กและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
3.การสัมภาษณ์และสอบถามเป็นอีกวิธีหนึ่งของการประเมินที่จะช่วยให้ครูทราบข้อเท็จจริงของเด็กวิธีการอาจเป็นแบบใดแบบหนึ่งดังนี้•การประชุมปรึกษาระหว่างครูกับครูหรือครูกับผู้ปกครอง
•การสัมภาษณ์ครูหรือผู้ปกครอง
•การสื่อสารระหว่างครูกับผู้ปกครองมีหลายวิธีการโดยหลักการคือการสื่อสารให้ผู้ปกครองโต้ตอบกลับมา
เทคนิควิธีที่เหมาะสมในการประเมินพัฒนาการ
เทคนิควิธีที่เหมาะสมในการประเมินพัฒนาการ
การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยควรเป็นการประเมินอย่างไม่เป็นทางการ โดยวิธีการที่เหมาะสมในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ได้แก่
1. เก็บรวบรวมข้อมูล ครูควรวางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูลควบคู่กับการจัดประสบการณ์ โดยเป็นการวางแผนล่วงหน้า ทั้งนี้ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมีดังนี้
1.1 การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมหรือคำพูดของเด็ก ครูควรใช้เวลาในการสังเกตและเฝ้าดูเด็ก เพื่อให้ทราบว่าเด็กแต่ละคนมีจุดเด่น ความต้องการ ความสนใจ และต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใด ทั้งนี้ ครูต้องกำหนดเวลา แนวทางที่ชัดเจน และจดบันทึกไว้เพื่อนำมาใช้ในวิเคราะห์และสรุป
1.2 การสนทนากับเด็ก ครูสามารถใช้การสนทนากับเด็กได้ทั้งแบบรายบุคคลและเป็นกลุ่มอย่างสอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน เพื่อประเมินความสามารถในการแสดงความคิดเห็น พัฒนาการด้านการใช้ภาษา ฯลฯ เช่น เมื่อครูเล่านิทานให้เด็กฟังแล้ว ครูอาจถามคำถามให้เด็กแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ฟัง เพื่อให้รู้ความคิดของเด็ก ทั้งนี้ ครูควรจดบันทึกคำพูดของเด็กไว้เพื่อการวิเคราะห์และปรับการจัดประสบการณ์ให้เหมาะสมต่อไป ในกรณีที่ต้องการสนทนากับเด็กเป็นรายบุคคล ครูควรพูดคุยในสภาวะที่เหมาะสม ไม่ทำให้เด็กเครียดหรือเกิดความวิตกกังวล
1.3 การเก็บตัวอย่างผลงานที่แสดงความก้าวหน้าของเด็ก เป็นวิธีการที่ครูรวบรวมและจัดระบบตัวอย่างผลงานที่แสดงความก้าวหน้าของเด็กจากชิ้นงานที่เด็กสร้างขึ้นในกิจวัตรประจำวัน ครูควรกำหนดจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการเก็บรวบรวมผลงาน เช่น เก็บตัวอย่างผลงานการตัดกระดาษที่แสดงการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการด้านการตัดกระดาษของเด็กเดือนละ 1 ชิ้นงาน แล้วนำมาจัดรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ เป็นต้น การเก็บสะสมผลงานอย่างต่อเนื่องนี้ ครูต้องประเมินว่าผลงานแต่ละชิ้นแสดงความก้าวหน้าของเด็กอย่างไร ไม่ใช่การนำมาเก็บรวมกันไว้เฉยๆ ครูอาจให้เด็กมีส่วนร่วมในการเลือกและจัดเก็บผลงาน และครูสามารถนำผลงานที่จัดรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบมาใช้ในการสื่อสารกับผู้ปกครองให้รับทราบเกี่ยวกับความก้าวหน้าของเด็กด้วย
วิธีการรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กที่ดีต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย ไม่ใช่วิธีใดวิธีหนึ่ง โดยให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น พ่อแม่ หรือครูผู้ช่วยมีส่วนร่วมในการรวบรวมข้อมูลด้วย เพราะวิธีการแต่ละวิธีจะมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน มีความเหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลที่แตกต่างกัน โดยวิธีการที่นำเสนอข้างต้นเป็นวิธีที่ครูต้องฝึกฝนจนมีทักษะในการสังเกตเด็ก พูดคุยกับเด็กและพ่อแม่อย่าง
เหมาะสม รวมทั้งมีความไวต่อสิ่งที่ควรบันทึกหรือเก็บตัวอย่าง หากครูมีทักษะเหล่านี้ก็จะทำให้การประเมินตรงตามสภาพจริงยิ่งขึ้น
2. วิเคราะห์และจัดทำบันทึกข้อมูลของเด็ก ครูควรนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาวิเคราะห์ และจัดทำบันทึกข้อมูลของเด็ก ทั้งในลักษณะของบันทึกข้อมูลเด็กรายบุคคล และบันทึกข้อมูลเด็กทั้งชั้นเรียน ดังนี้
2.1 บันทึกข้อมูลเด็กรายบุคคล การทำบันทึกข้อมูลเด็กรายบุคคลจะช่วยให้ครูรู้จักความสามารถที่แท้จริงของเด็ก ทำให้ครูติดตามความก้าวหน้าของเด็กได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังช่วยให้ครูประเมินเด็กอย่างครอบคลุมทุกรายการประเมิน ครูที่ทำบันทึกข้อมูลเด็กเป็นรายบุคคลจะสามารถช่วยส่งเสริมความสามารถของเด็ก หรือให้ความช่วยเหลือเด็กได้อย่างเหมาะสม
2.2 บันทึกข้อมูลเด็กทั้งชั้นเรียน การทำบันทึกข้อมูลเด็กทั้งชั้นเรียนช่วยให้ครูรู้ว่าเด็กในห้องเรียนที่รับผิดชอบมีความสามารถหรือมีพัฒนาการในแต่ละด้านเป็นอย่างไร ส่งผลให้ครูสามารถออกแบบการจัดประสบการณ์ได้เหมาะสมกับเด็กในชั้นเรียนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังแสดงให้เห็นความก้าวหน้าของเด็กทั้งชั้นเรียน การสรุปเช่นนี้ควรทำเป็นระยะอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ที่ดีต้องผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกันกับการจัดประสบการณ์ การประเมินช่วยให้ครูทราบพัฒนาการของเด็ก เข้าใจเด็ก และรู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะสามารถส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างเต็มที่ ครูปฐมวัยจึงควรศึกษาวิธีการ เครื่องมือ และเกณฑ์การประเมินที่เหมาะสมกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยวางแผนการประเมินให้เหมาะสมใช้ผลการประเมินในการส่งเสริมพัฒนา การและการเรียนรู้ของเด็ก การประเมินจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่ช่วยทำให้ครูสามารถจัดประสบการณ์อย่างมีคุณภาพ
No comments:
Post a Comment